วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โลกแห่งความเป็นจริงกรรมฐาน โดย พระเทพวราจารย์( ศรีพร ปธ.๙ ph.D.)





บทที่ ๑

''ขวาย่างหนอ   ซ้ายย่างหนอ
ยกหนอ    เหยียบหนอ 
ยกหนอ    ย่างหนอ    เหยียบหนอ 
ยกส้นหนอ    ยกหนอ    ย่างหนอ    เหยียบหนอ



      เสียงภาวนาที่ก้องอยู่ภายในใจ     ที่เราต้องใช้สติกำหนดพิจารณารู้เท่าทันอารมณ์ เป็นอุบายวิธีที่สามารถ     สะกดความรู้สึกของบุคคลผู้ที่เข้าปฏิบัติให้มีความสงบระงับได้เพราะแต่ละอย่างนั้นต้องใช้สติเป็นตัวกำกับเมื่อใดก็ตามถ้าขาดสติ      เมื่อนั้นการพิจารณา จะขาดช่วงจนกระทั่งทำให้อาการเดินก็ดีหรือแม้แต่การนั่งก็ดีหรืออากัปกิริยาอื่นๆต้องมีอันโคลงเคลง

         แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตนิ่ง นั่นย่อมหมายถึงว่าความสุขมันเกิดขึ้นเกิดจากภาวนาที่จิตสงบเย็น
ความสงบเย็นนี้แหละที่สังคมไฟหากันอย่างมากในยุคปัจจุบัน    เพราะความวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นมีมากเหลือเกิน    มากจนกระทั่งจิตแพทย์ต้องทำงานหนักในการที่จะคลี่คลายปัญหา     รักษาโรคจิต    เพื่อต่ออายุให้กับชีวิตที่หมกมุ่นมัวเมา    ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเรื่องทุกเรื่องมันอยู่ที่ ตัวเราเท่านั้นเองแหละ   ที่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้    แต่คนก็มองข้ามศักยภาพของตัวเองไป   หวังแต่พึ่งพาอาศัยคนอื่นจนกระทั่งลืมพึ่งพาอาศัยตนเอง



          ความมหัศจรรย์ของหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการให้มองที่ตนเองเป็นหลักมีคำกลอนที่ท่านผู้เป็นปราชญ์ได้ประพันธ์ไว้น่าสนใจว่า


โลกภายนอก     กว้างไกล    ใคร  ใคร รู้

โลกภายใน   ลึกซึ้งอยู่   รู้บ้างไหม

จะมองโลก   ภายนอก   มองออกไป

จะมองโลก    ภายใน     ให้มองตน


       ทำอย่างไรเราจะมองที่ตัวเองให้แจ่มชัด    มองตัวออก    บอกตัวได้    ใช้ตัวเป็น     ความวุ่นวายของปัญหาทุกอย่าง     มันจึงถูกปรุงแต่งโดยการที่เรามองแต่ปัจจัยภายนอก       แล้วเราก็ปรุงแต่งให้วันเกิดอาการวิลิสมาหรา      ปรุงแต่งภาพ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนั้นตามแต่ใจปรารถนา    หากว่าปรุงภาพดีก็ดีไป    แต่ถ้าเป็นภาพที่ไม่ดีละ    มันก็ทำให้ใจเสีย   จิตใจของคุณโดยส่วนมาก    มักจะปรุงแต่งแต่เรื่องที่ไม่ดีงาม     เรื่องที่จะก่อให้เกิดประโยชน์นั้น    มักจะไม่ปรุงแต่งกัน

 
       กรรมฐาน จึงคือการมองตน     มองให้ ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้     อย่าปล่อยให้จิตมันฟ้งไปพยายามควบคุม       ควบคุมอายตนะภายใน      ควบคุมอายตนะภายนอก    ทำให้เป็นระบบเพราะมันมีทั้งศาสตร์และศิลป์    อยู่ในตัว     เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและน่าสนใจมาก    อยากให้คนมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสแม้จะด้วยระยะเวลาที่เล็กน้อยมันก็อิ่มเอมใจเหลือเกิน

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ยักษ์ใกล้ตัว

มียักษ์อยู่สามตัวที่แสนน่ากลัว
มันหลับไหลอยู่ในใจของปุถุชน
คนธรรมดาอย่างเราทุกคน

ยักษ์ตัวแรกชื่อ  ความอยาก
มีชื่อเป็นทางการว่า โลภะ
จะอ้วนกว่าทุกตัว
เพราะมันมีความอยากอยู่ตลอดเวลา
อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน
และอยากมีมากกว่าคนอื่น
ไม่เคยรู้จัก''คำว่าพอ''

ตัวที่สองชื่อโทสะ  น่ากลัวกว่าบรรดา
เพื่อนของมัน ถ้าใครทำให้มันหงุดหงิด
หรือโกรธ เตรียมตัวรับแรงกระแทกได้เลย
ถ้าควมคุมมมันไม่ได้ เที่ยวทะเลาะตบตีกับ
คนไปเลื่อย บางทีเห็นคนเป็นผักเป็นปลา
ฆ่ากันได้ง่ายๆเลยแหละ ความเมตตาไม่เคยมี

ตัวสุดท้ายชื่อ โมหะ หลงงมงายไปทั่ว
ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมดไม่เคยไตร่ตรอง
ถึงความจริงใดๆ หูของมันมีน้ำหนักเบา
เวลามันหลงอะไรมากๆหน้ามืดตามั่วเลยเเหละ

ลองนึกดูสิว่าถ้ายักษ์สามตัวนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
อนุภาพมันจะขนาดไหน เมื่อมันออกอาละวาด 
อาจทำลายชีวิตของคนอื่นไปได้ง่ายๆ
แม้แต่ชีวิตเราเองก็เช่นกัน

เราจะทำอย่างไรให้มันไม่ตื่นขึ้นมา
เราจะควมคุมมันอย่างไรเล่า

ต้องใช้โซ่วิเศษ ที่ชื่อว่า  สติสัมปชัญญะ
ควมคุมมันให้ได้ ผูกมันไว้ให้ดี
อย่าให้มันออกมาเที่ยวทำร้าย
ใครไปทั่ว

เอาสติกำหนดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก
ในเวลาที่มันตื่นขึ้นมา  ใช้สัมปปัญญะ
คอยสอดแนมใจอยู่เสมอ

สติ  คือ  ความระลึกได้
ไม่เผลอให้มันตื่นขึ้น   
สัมปชัญญะ  คือ ความรู้ตัวอยู่เสมอ
ไม่หลงให้มันครอบงำ
จิตใจได้ง่ายๆ

ถ้าขาดสองอย่างนี้ในการควมคุม
ไม่ว่าจะเป็นใคร
รวยแค่ไหน
การศึกษาสูงเพียงใด
ก็เป็นยักษ์ได้เช่นกัน

สติมาปัญญาเกิด
สติเตลิดจะเกิดปัญหา

หาเรื่องใส่ตัว

...เปื้อนฝุ่น

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อกหัก หรือ เสียดาย




รัก คำสั้นๆ เมื่อได้รับจากคนบางคนแน่นอนล่ะ ต้องรู้สึกดีกันถ้วนหน้าทำให้คนที่ได้รับยิ้มมีความสุข เหมือนโลกใบนี้กำลังเป็นสีชมพู แต่หารู้ไม่ ว่า เมื่อยิ้มได้ ก็ร้องให้เป็น สุขได้ก็ทุกข์ได้  รวยได้ก็จนได้ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนจริงๆ
เมื่อถึงเวลาต้องจาก คนเรามักจะไม่ยอมรับความจริง ได้แต่คิดหาเหตุผลว่าทำไม เพราะอะไร  แล้วก็ ร้องให้ฟูมฟาย ข้าวปลาไม่ยอมกิน คิดถึงแต่เรื่องราวในอดีตที่เคยทำร่วมกัน วันๆไม่ทำอะไร นอกจากทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเอง  ทำเหมือนกับโลกใบนี้มีคนแค่สองคน  อาการเหล่านี้หลายๆ คนบอกว่า เป็นอาการของคน อกหักจริงหรือ ?
อกหัก คือ การที่เรารู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป พอไปไม่ถึงฝันจึงทำให้เกิดการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ชะงักไปในชั่วขณะ พูดอะไรไม่ออก รู้สึกวาบหวิวที่หน้าอกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะแล้วหายไปจากโลกนี้ภายในพริบตาเดียว
เสียดาย คือ การที่เรามานั่งคิดถึงแต่เรื่องราวในอดีต คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาแล้ว บางคนอาจถึงขั้นทำร้ายตัวเอง กรีดแขน  พยายามฆ่าตัวตาย ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนบางคน คิดในแง่ลบ เก็บตัวเงียบ จิตใจเป็นทุกข์ เพราะไม่ยอมรับความจริงเวลาที่ผิดหวังกับความรัก คุณมีความรู้สึกแบบไหน  ลองพิจารณาดูนะ ว่าจริงๆ แล้ว คุณ อกหัก หรือ แค่ เสียดาย


                                                                                                      # Alone

โพสต์แนะนำ

แล้วมันจะผ่านไปจริงๆ

                                สักวันหากคุณเจอ เรื่องราวร้ายๆ   ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  เรื่องที่คุณไม่สามารถ แก้ไขอะไรมันได้   ...