วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วิสาขบูชา วันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

      



กำเนิดผู้มีบุญญาธิการ 

           เช้าวันศุกร์ ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีจอ ๘๐ปีก่อนพุทธศักราช ณ อุทยานสวนลุมพินีวันใต้ต้นสาละคู่ พระนางสิริมหามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ประสูติเจ้าชายพระองค์น้อยผู้มีบุญญาธิการ  ทันทีที่พระบาททั้ง ๒ ของเจ้าชายแตะพื้นได้เสด็จพระราชดำเนินไป  ๗  ก้าว แต่ละก้าวมีดอกบัวทิพย์ผุดขึ้นรองรับแล้วได้กล่าววาจาว่า "เราเป็นผู้เลิศ  เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย  บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว'' เป็นการกล่าวอาสภิวาจาอย่างองอาจ

         ๕  วันหลังเจ้าชายประสูติพระบิดาโปรดให้ประชุมพระประยูรญาติเพื่อขนานพระนามเจ้าชายน้อย และได้สั่งให้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ มาเลี้ยงโภชนาหาร เหลือพราหมณ์  ๘ คน ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าทำนายลักษณะของพระกุมาร หนึ่งในนั้นคือ โกณฑัญญพราหมณ์ ผู้ทำนายเป็นอย่างเดียวว่า พระราชกุมารจักเสด็จออกบวช ตรัสรู้เป็นพระสัมมามัมพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก  พราหมณ์เหล่านอกนั้นทำนายเป็น๒ อย่าง คือ ๑.ถ้าอยู่ครองฆราวาสจักเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ๒.ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก   เมื่อทำนายลักษณะเสร็จได้ขนานพระนามเจ้าชายพระองค์น้อยว่า ''สิทธัตถะ'' ซึ่งแปลว่าผู้มีความต้องการสำเร็จ      พอครบ  ๗ วันแห่งการประสูติ ผู้เป็นพระมารดาคือ พระนางสิริมหามายาก็ได้เสด็จสวรรคต

ออกบวชจนพบทางหลุดพ้น

        เจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนมายุได้  ๑๖ พรรษาได้อภิเษกกับพระนางพิมพา  พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะแห่งแคว้นโกลิยะ และได้เสวยสุขบนปราสาท ๓ ฤดู จนมีประชนมายุได้ ๒๙ พรรษามีความประสงค์เสด็จประพาสพระราชอุทยานโดยรถม้า จนได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่  คนเจ็บ  คนตาย  พระองค์ตรัสถามนายสารถีจนทราบความแล้วเกิดความสลดพระทัยเป็นอย่างมาก แต่กลับทรงเกิดความเลื่อมใสน้อมพระทัยออกบวชเมื่อเห็น  สมณะ  หลังจากกลับจากพระราชอุทานก็ได้ทราบข่าวว่าพระชายาของพระองค์ประสูติพระโอรส เมื่อได้ยินพระองค์ได้เปล่งวาจาว่า บ่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกเกิดแล้ว จึงขนานนามพระโอรสว่า ราหุล ในคืนนั้นพระองค์เสด็จสู่ห้องบรรทม ทอดพระเนตรเหล่านางสนมนอนหลับมีอาการต่างๆ เช่น น้ำลายไหล กรน ละเมอ จนพระองค์มีพระทัยน้อมไปในการบวช ตัดสินพระทัยออกจากเมืองพร้อมกับนายฉันนะด้วยม้ากัณฐกะ จนถึงเเม่น้ำอโนมานทีและได้ตัดพระเกศาและพระมัสสุผนวช ณ ฝั่งเเม่น้ำอโนมา

            หลังผนวชพระองค์ได้ประทับอยู่แคว้นมัลละ  ๗ วันแล้วเสด็จมุ่งหน้าสู่งสำนักของอาฬารดาบส จนสำเร็จวิชาสมาบัติ ๗ และต่อด้วยสำนักของ อุทกดาบสจนสำเร็จอรูปฌานที่ ๕ ในเวลารวดเร็ว แต่สิ่งที่พระองค์ศึกษามิใช่ทางตรัสรู้จึงอำลาอาจารย์ สู่อุรุเวลาเสนานิคมโดยมีปัญจวัคคีย์ติดตาม เมื่อถึงอุรุเวลาเสนานิคมทรงเริ่มบำเพ็ญทุกกิริยา ทรมานพระวรกายให้ลำบากนานถึง ๖ ปี จนรู้ว่านี่ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เมื่อสดับเสียงพิณ ๓ สาย ทรงดำริว่า สายหนึ่งตรึงเกินไป พอดีดหน่อยจะขาด สายที่สองหย่อนดีดแล้วไม่เกิดเสียง สายที่สามไม่หย่อนไม่ตรึงมาก ดีดเสียงไพเราะจับใจ หลังจานั้นทรงเลิกบำเพ็ญทุกกิริยาหันมายึดทางสายกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทา

           ขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน  ๖   ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช พระองค์ได้ประทับภายใต้ต้นอชปาลนิโครธ ในเวลาเช้าได้เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย เสร็จแล้วเสด็จถือถาดทองคำไปสู่แม่น้ำเนรัญชรา อธิฐานว่า ''ถ้าเราจะได้ตรัสรู้สัพพัญญุตญาณ ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระเเสน้ำ'' และถาดทอดคำนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำตามคำอธิฐานแล้วจมลงสู่นาคพิภพ ในระหว่างทางที่เสด็จกลับพระองค์ได้รับหญ้าจากโสตถิยพราหมณ์ ๘ กำ และพบต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรงลาดหญ้าคาเป็นบัลลังก์มีพระทัยแน่วแน่ว่าสถานที่นี้ตรัสรู้พระโพธิญาณ
      พระองค์นั่งหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกตั้งสัตยาธิฐานว่า''ถ้าไม่ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักไม่ลุกจากบัลลังก์ ถึงแม้เนื้อเเละเลือดจะเหือดแห้งไปก็ตามที'' และในวันนั้นพระองค์ได้ชนะพระยาวสดีมารเมื่อพระยามารหนีกลับพระองค์ได้ตั้งความเพียรจนถึงปัจฉิมยามพระองค์ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างสมบูรณ์  เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก


ดับขันธปรินิพพาน

      พระพุทธองค์ประกาศศาสนายาวนานจนมีพระชนมายุได้ ๘๐  ปี ในพรรษาสุดท้ายเมื่อพระยาวสวัตตีกราบทูลให้ปรินิพพาน พระองค์ได้ปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ตรงกับวันเพ็ญเดือน  ๓ คือต่อจากนี้ไป ๓ เดือนพระองค์จักปรินิพพาน  และในพรรษานั้นพระองค์เสด็จไปเมืองปาวาทรงรับบิณบาตครั้งสุดท้ายของนายจุนทะ ครั้งเสวยสุกรมัทวะเสร็จโรคปักขันทิกาพาธก็กำเริบจึงเสด็จสู่เมืองกุสินาราจนถึงอุทยานของพระเจ้ามัลละพระองค์ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ระหว่างต้นสาละทั้งคู่

     ในปัจฉิมยามพระพุทธองค์ได้ตรัสปัจฉิมโอวาทว่าดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย, บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด พระองค์ได้ปรินิพพานตรงกับวันอังคารขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน  ๖  ณ ต้นสาละคู่ เมืองกุสินารา นับเป็นเวลา  ๔๕ พรรษาที่พระองค์ได้ประกาศศาสนามาอย่างยาวนาน

        นี่คือความเป็นมาโดยประวัติสังเขปขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ ตั้งแต่พระองค์ประสูติ ออกบวชจนได้ตรัสรู้ และปรินิพพานในที่สุด  จำเดิมแต่พระองค์ปรินิพพานผ่านมาแล้ว๒๕๐๐ กว่าปี คำสอนของพระองค์ยังคงมั่น สามารถนำมาปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาลจำกัดสมัย ฉะนั้นวิสาขบูชานี้เราชาวพุทธทั้งหลายจงร่วมใจกันระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ เข้าวัดฟังธรรม ปฏิธรรม ถวายเป็นพุทธบูชาตามวัดใกล้บ้านด้วยใจศรัทธา


ชยวุฑโฒ เรียบเรียง

ข้อมูลอ้างอิง
หนังสือนักธรรมชั้นตรี  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โพสต์แนะนำ

แล้วมันจะผ่านไปจริงๆ

                                สักวันหากคุณเจอ เรื่องราวร้ายๆ   ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  เรื่องที่คุณไม่สามารถ แก้ไขอะไรมันได้   ...